Monday 26 October 2009

Week 33 Shizuoka : Sumo ซูโม่กะเห็ดหอม


ซูโม่ ถ้ากล่าวถึงทุกคนก็จะนึกถึงญี่ปุ่นได้ทันที เพราะกีฬาซูโม่ถือได้ว่าเป็นกีฬาประจำชาติของเขา แม้ว่าจะมีการจัดไม่บ่อยนักและปัจจุบันผู้คนไม่นิยมเหมือนกีฬาชนิดอื่นๆ เนื่องจากจำกัดผู้เล่นเฉพาะคนตัวใหญ่ๆ อ้วนๆ กล่าวถึงตรงนี้ภาพซูโม่คงจะผลุดขึ้นมาในหัวแล้ว คนอ้วนๆ สองคนมาเอาตัวชนกัน ผลักกัน ยกกันเพื่อให้ออกจากเส้นวงกลม ใครออกก่อน หรือแม้แต่เอาอวัยวะส่วนอื่นๆ นอกจากผ่าเท้าแตะพื้นก็ถือว่าแพ้หมด กติกาง่ายๆ

แม้จะบอกว่าปัจจุบันเขาไม่นิยมเหมือนเบสบอลหรือบาสเกตบอล แต่ก็ยังมีคนรุ่นเก่าๆ ที่ยังนิยม นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยากจะเห็นสักครั้ง และคนรุ่นใหม่ที่แทบจะหาไม่ค่อยได้ที่ยังรักในกีฬาประจำชาติ กับบัตรเข้าชมมีจำนวนจำกัดโดยเฉพาะรอบตัดสินหลังๆ ทำให้กว่าจะจองได้ก็หืดขึ้นคออยู่ เพราะคู่หูคนดีช่วยจัดการให้เลยได้รอบรองชนะเลิศแม้ว่าเขาจะไปด้วยไม่ได้ก็ตาม งานนี้ฉายเดี่ยวตามเดิมครับ ราคาบัตรนั้นไม่ต้องพูดถึงถูกสุดเป็นตั๋วยืนด้านหลังสุดราคา สามพันเยน ไล่ไปจนถึงเป็นหมื่นเยน โชคดีที่ได้บัตรส่วนลดมาจากคนญี่ปุ่นเลยได้นั่งที่ดีๆ หน่อย

วันที่ไปดู เขาให้เข้าสถานที่แข่งได้ตั้งแต่สิบเอ็ดโมง ไปจนถึงหนึ่งทุ่มได้ แต่ขี้เกียจไปเร็วเพราะเขาจะแข่งไปเรื่อย ไม่ใช่แพ้ตกรอบ แต่มีการสะสมคะแนนแล้วคัดออก ดังนั้นช่วงแรกๆ จึงไม่ค่อยสนุก ผมเลยไปตอนหลังเที่ยง หน้าทางเข้าผู้คนก็ดูเยอะ แต่ไม่ถึงกับแออัดเหมือนงานมหกรรมสินค้าลดราคา ตัวอาคารก็เหมือนกับไปดูการแข่งบาสเกตบอลใหญ่ๆ ในโรงยิมแห่งชาติประมาณนั้น ด้านนอกดูวุ่นวายเพราะมีร้านขายขนมและเครื่องดื่ม

ที่นั่งมีหลายแบบ เริ่มจากถูกสุดจะเป็นแบบยืน ถัดมาเป็นแบบนั้งบนเก้าอี้แข็ง ถัดมาอีกเป็นแบบเสื่อทาตามิ มีแบบ สองคน สี่คน และหกคน แบบนี้เขาจะมีเป็นล๊อคให้แล้ว แต่ถ้านั่งนานๆ คงจะเมื่อยก้นแน่ๆ แม้จะมีเบาะให้รองนั่งก็ตาม

ด้านล่างของตัวอาคารเขามีจัดโชว์ถ้วยรางวัลของนักซูโม่เอาไว้ด้วย มาสะดุดตาอยู่ถ้วยหนึ่ง เขาใส่เห็ดหอมดอกใหญ่ๆ ไว้เต็มเลย ถ้วยมีความสูงประมาณเมตรครึ่งที่เดียว เลยถามเขาได้คำตอบว่า นักซูโม่ชอบกินเห็ดหอมเพื่อบำรุงกำลัง โดยเฉพาะนักซูโม่จากมองโกลเลียจะชอบมาก และนักซูโม่จากมองโกลเลียนี่แหละที่ครองแชมป์ในญี่ปุ่นมานานหลายสิบปีแล้ว น่าเศร้าจริงๆ ที่กีฬาประจำชาติแต่คนต่างประเทศเป็นแชมป์มายาวนาน ขออย่าให้มวยไทยซ้ำรอยเลย


Japan travel information : http://japantravelguide-lomlamer.blogspot.com/
ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ : http://lomlamer.multiply.com

No comments: