Wednesday 11 February 2009

วันที่ยี่สิบแปด - เดินทางไปฮิโรชิม่าครับ



ออกเดินทางจาก KKC เวลาแปดโมงเช้าครับ ต้องไปต่อรถไฟชินคันเซ็น (โนโซมิ) ที่ Shinosaka ให้ทันตอนสิบโมงครึ่ง คณะที่ไปพร้อมกันนี้มีเพียงคนไทยและเวียดนามรวมกันแล้วเกือบยี่สิบคน
มาถึงสถานีฮิโรชิมาเวลาเกือบเที่ยงวันพอดี นากะซังให้แยกย้ายกันไปหากินเอง ก่อนที่จะมาเจอกันตอนบ่ายเพื่อเดินทางด้วยรถไฟต่อไปที่ท่าเรือเฟอรี่ ข้ามไปเกาะมิยาจิม่า ที่เป็นที่หมายแรกของวันนี้ สภาพอากาศเมื่อมาถึงไม่ค่อยดีนัก มีฝนเป็นช่วงๆ ลงเรือข้ามฟากแล้วก็ยังมีแต่พอเข้าใกล้เกาะแล้วฝนหายไปหมดเลย ค่าข้ามเรือคนละ 170 เยน ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีได้ เมื่อเข้าใกล้เกาะจะมองเห็นสิ่งแรกคือเสาแดงกลางทะเล หรือที่เรียกว่า โอโทริ (Grand Gate)

เกาะมิยาจิม่า Miyajima เป็นหนึ่งในสามของ "Three Most Scenic Spots" (日本三景) แล้วจะบอกที่หลังว่ามีที่ไหนบ้าง
วันนี้เอาของเข้าที่พักที่ Miya Rikyu เป็นเรียวกังด้วยครับ คือคล้ายๆ โฮมสเตย์บ้านเราแต่ดีกว่า ตั้งอยู่ติดทะเลเลย แค่วางของกองไว้เลยยังไม่เห็นห้องพักครับ นากะซังก็เร่งให้ออกไปเพื่อไปวัดใกล้ๆ ที่โด่งดัง Itsukushima Shrine วัดนี้สร้างสมัย ศตวรรษที่ 12 และมาซ่อมแซมอีกครั้งตอนศตรรษที่ 16 ด้วยการคงไว้ซึ่งแบบดั้งเดิมนี่เองจึงได้เป็นมรดกโลกต่อมา ถ้ามองออกห่างจากวัดจะสักสองร้อยเมตรจะมองเห็น เสาแดงกลางทะเล เวลาน้ำลงจะเดินออกไปได้ถึงโคนเสาซึ่งก็เป็นเวลาที่พวกเรามาถึงพอดี วัดนี้มีรายละเอียดมากมายที่นากะซังเล่าให้ฟัง ถ้าไม่มีไกด์พามาด้วยคงไม่รู้แน่ๆ อย่างเช่น


แต่ละช่วงเสาทางเดินจะปูด้วยแผ่นไม้ขนาดใหญ่จำนวนแปดแผ่นเสมอ เพราะเขาเชื่อว่าเลขแปดเป็นเลขดี(เหมือนจีน)

ภายในวัดทั้งหมดจะแขวนโคมไฟไว้เพียง 108 อัน ตามกิเลสที่มีอยู่ 108 ประเภท

แต่ละห้องจะมีการบูชาเจ้าที่ละองค์อย่างเช่น เทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าเนื้อคู่ เทพเจ้าการเรียน ซึ่งนี่เองเป็นที่มาของการบูชาทัพพี
(しゃもし) แก่เทพเจ้าการเรียน

ส่วนการไหว้เขาก็มีวิธีพิเศษนะ เริ่มที่โยนเหรียญก่อน แล้วโค้งสองครั้ง ตบมือสองครั้ง แล้วอธิษฐาน สุดท้ายโค้งอีกหนึ่งครั้งเป็นอันเสร็จ

สิงห์โต หรือ おつ จะมีเขาหนึ่งอันที่หัว แต่ที่แปลกกว่าคือเขามีการทำอวัยวะเพศให้ชัดเจนว่าตัวนี้ตัวผู้ ตัวนี้ตัวเมียด้วย

นอกจากนี้ที่สำคัญคือเขาสร้างโรงละครไว้กลางทะเลเวลาน้ำขึ้นจะใช้เสียงคลื่นกระทบประกอบการแสดงด้วย

มองจากวัดขึ้นไปบนเขาจะเห็นอาคารไม้หลังใหญ่มาก เรียกว่า せんじょかく เซนโจคาคุ เป็นอาคารที่สร้างระลึกถึงทหารที่ตายในสมัยสงครามของ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ แต่เขาดันตายก่อนเลยยังสร้างไม่เสร็จ ถ้าเสร็จจะเชิญพระสงฆ์ถึง 1000 รูปมาสวด 1000 วัน เลยทีเดียว ข้างๆ จะมีเจดีย์ 5 ชั้น แต่ต้องเสียค่าเข้า 100 เยนด้วย ถ้าเดินเลยไปอีกจะเป็นสวนเมเปิ้ล หรือที่เรียกว่า Momijidani Park
(Momiji = เมเปิ้ล)

นอกจากนี้ยังมี Mt. Misen ที่มี Rope way พาขึ้นไปบนเขาด้วย เสียดายเวลามีน้อยเลยไม่ได้ขึ้น เขามีการเรียกที่เขานี้ว่า Misen's seven wonders ด้วยถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างต้องมาเองครับ

เดินกลับมาแถวที่พักผ่านร้านขายทัพพี อย่างที่บอกไปว่าทัพพีเลยกลายเป็นของฝากขึ้นชื่อควบคู่ไปกับขนมโมมิจิมันจู เดินไปหยุดอยู่ร้านหนึ่งเห็นเขียนป้ายบอกว่า ถ้าซื้อแล้วจะเขียนตัวคันจิให้ด้วย เลยลองเอาชื่อตัวไปให้เขาเปลี่ยนเป็นคันจิเขาบอกว่าดีมากเลย (su = ดีเลิศ ดีงาม น่ายินดี, wa = สันติภาพ , to = เมือง) รวมเป็นเมืองแห่งสันติภาพและความดีงาม ตอนแรกเขาจะคิดราคา 800 เยนแต่คุยไปคุยมา เขาบอกว่าเคยมาไทยและชอบมากเลยลดให้เหลือแค่ 500 เยนพอ

มื้อเย็นต้องกลับไปกินรวมกันที่เรียวกัง แต่ต้องไปเปลี่ยนเป็นชุดยูกะตะก่อนด้วย อาหารยกมาเสริฟแบบของใครของมัน หน้าตาก็โอเคน่ากินอยู่แต่ทำไมคนอื่นกินกันไม่ได้เลย สุดท้ายเลยกินของคนสี่คนอิ่มไปเลย พอกลับเข้าห้องเขามาปูที่นอนให้แล้ว ขอพักท้องก่อนเดี๋ยวค่อยไปลงอ่างอาบน้ำนะ

สองทุ่่มครึ่งมีการแสดงกลอง ที่เขาเรียกว่า Taigo show ด้วย

1 comment:

Je@b said...

คุยจนลดราคาได้ด้วย ... ไม่ธรรมดานะคะ :)